วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 29 เคลื่อนไหวดั่งสายลม





ด้วยการที่เราสามารถทำความเข้าใจ ในความเป็นเนื้อหาแห่งธรรมชาติที่มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ในความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ของมันอยู่อย่างนั้นได้อย่างตระหนักชัดแจ้ง โดยเป็นความเข้าใจอย่างถ้วนถี่ไม่มีความลังเลสงสัยอันใดเหลืออยู่ และสามารถซึมซาบกลมกลืนกลายเป็นเนื้อหาเดียวกัน กับความเป็นธรรมชาตินั้นได้อย่างแนบสนิท ชนิดที่เรียกได้ว่ามันเป็นหนึ่งเดียวในความเป็นธรรมชาติ โดยไม่อาจแยกเราและความเป็นธรรมชาติ ให้มีความแตกต่างออกเป็นสองสิ่งได้เลย ความเป็นเนื้อหาเดียวกันในความเป็นไปตามสภาพธรรมชาตินั้น มันจึงเป็น "ธรรมชาติ" ในความเป็น

เช่นนั้นเองของมันอยู่อย่างนั้น อย่างคงที่ในสภาพแห่งธรรมชาตินั้น โดยไม่มีวันที่จะแปรผันไปเป็นอย่างอื่นในความหมายอื่นได้เลย การที่เป็นเนื้อหาเดียวกันอยู่อย่างนั้นระหว่างเรากับธรรมชาตินั้น มันจึงเป็นความตั้งมั่นในความเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เป็นความตั้งมั่นที่มีความหมายถึง มันทำให้เราได้กลมกลืน เป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติโดยไม่มีความแตกต่าง ก็ธรรมชาติแห่งการตั้งมั่นอันคือธรรมชาติแห่งความกลมกลืน เป็นเนื้อหาเดียวกันแบบไม่มีความแตกต่าง อันทำให้เรา คือ ธรรมชาติ ธรรมชาติ คือ เรา ชนิดที่เรียกว่าแยกกันไม่ออก เป็นไปในความแนบเนียนอยู่ในความกลมกลืนอยู่อย่างนั้น ก็ด้วยขันธ์ทั้งห้าที่ถูกอุปมาไปแบบนั้นว่า นี่คือ กายเรา อันเป็นไปแห่งธาตุขันธ์ที่เราได้อาศัยอยู่อย่าง

นี้ และยังมีลมหายใจ ที่ขยันหายใจเข้าหายใจออกอยู่แบบนี้ อันว่านี่คือเรา คือชีวิตเรา และมันยังมีความเคลื่อนไหว สามารถกะพริบตา กระดุกกระดิกไปมาได้ ในท่ามกลางอิริยาบถทั้งสี่ คือ ยืน นั่ง เดิน นอน เมื่อเรายังต้องมีการไปและการมา ด้วยการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันด้วยขันธ์ธาตุเหล่านี้ ก็ด้วยความเป็นธรรมชาติแห่งความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนของมันอยู่อย่างนั้น มันจึงเป็นธรรมชาติที่มีความสงบนิ่ง สงบตามธรรมชาติของมันที่อยู่ภายในความเป็นไป อันปราศจากความเคลื่อนไหวแห่งภาวะใดๆของมันอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวไปมา มันก็เป็นเพียงการเคลื่อนไหวไปมาอยู่อย่างนั้น หามีผลหรือส่งผลกระทบอันจะทำให้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ธรรมชาติอันคือ

สภาพความสงบนิ่งที่แท้จริง ซึ่งปราศจากความเคลื่อนไหวแห่งภาวะใดๆ มันจะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของมันตามธรรมชาตินั้นไปเป็นอย่างอื่น เพราะความเป็นธรรมชาติมันก็คือ สภาพความเป็นของมัน อยู่อย่างนั้นเองอยู่แล้ว ไม่สามารถมีใครหรือสิ่งใดๆเข้ามาทำ ให้ความเป็นธรรมชาติแห่งสภาพตัวมันเอง เปลี่ยนไปเป็นอื่นๆได้เลย ด้วยเหตุผลความเป็นจริงเหล่านี้ การที่เป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติแห่งพุทธะ และต้องเคลื่อนไหวไปมาในอิริยาบถต่างๆนี้ มันจึงเป็นการเคลื่อนไหวไปในความสงบอย่างแท้จริง เป็นความสงบ ซึ่งปราศจากการเคลื่อนไหวแห่งภาวะใดๆภายในธรรมชาติ มันจึงเป็นความสงบนิ่งอย่างแท้จริง มันเป็นความสงบนิ่ง แต่เคลื่อนไหวได้ เคลื่อนไหวไปดุจดั่ง "สายลม" ที่พลิ้วไหวและแผ่ซ่าน ด้วยความสงบนิ่งแผ่วเบา ในทั่วทุกหนแห่ง



 หนังสือ "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ ตั๊กม้อ" ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร 25 กุมภาพันธ์ 2557


วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การฟังพระธรรมเหมือนเป็นการเตือน



เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน "การฟังพระธรรมเหมือนเป็นการเตือน"ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วย กรุณาแปลพจนานี้เพื่อความกระจ่างด้วย ขออนุโมทนา


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น การฟังพระธรรมเป็นกุศลเป็นความดีเป็นการฟังเรื่องสัจจธรรม สิ่งที่มีจริง เป็นจริงในชีวิตประจำวัน ฟังในสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทำให้ผู้ที่ ได้ฟังได้ศึกษาเข้าใจสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ว่าแท้ ที่จริงก็เป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่าง ๆ เท่านั้นจริง ๆ ทำให้เข้าใจโลกและเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างตาม

ความเป็นจริงผลจากการฟังฟังพระธรรม คือ มีปัญญา ความรู้ความเข้าใจที่ค่อย ๆ เจริญขึ้นปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรมเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสและดับกิเลสได้ใน ที่สุด แต่ละบุคคลมีกิเลสมากเหลือเกินการที่กิเลสจะค่อยๆ หมดไปได้คลาย ไปได้ก็ด้วยความเห็นถูกที่ถูกต้องจากการฟังพระธรรมแล้วก็เป็นความเข้าใจของ ตนเองด้วยที่จะทำให้มีศรัทธาเพิ่มขึ้น ฟังมากขึ้น แล้วก็สามารถที่จะน้อมประพฤติ

ปฏิบัติตามได้เมื่อมีการฟังพระธรรมและมีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นไปตามลำดับกุศลธรรมประการต่าง ๆ ก็จะเจริญขึ้นตามระดับขั้นของปัญญาด้วย เพราะเหตุว่า เมื่อปัญญาเจริญขึ้นการคิดการกระทำและคำพูด ก็จะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นเพราะมีพระธรรมเป็นเครื่อง ฝึกที่ดีสูงสุด คือ เมื่อปัญญาคมกล้าขึ้นก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็น พระอริยบุคคลขั้นต่าง ๆ ปราศจากกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ตาม

ลำดับ มรร เพราะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่าการฟังพระธรรมเป็นการศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เพื่อให้เข้าใจธรรมซึ่งมีจริงอยู่ทุกขณะตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นประโยชน์กับทุกคน โดยไม่จำกัดเพศไม่จำกัดวัย ขณะที่ฟังพระธรรม ขณะนั้นเป็นกุศล เป็นความดี โดยที่ไม่ต้องไปขวนขวายหาวัตถุมาให้ทานเลยก็เป็น กุศลแล้วในขณะที่ฟังพระธรรมซึ่งก็หมายรวมถึงการอ่านการพิจารณาไตร่ตรองการสนทนาการสอบถามจากกัลยาณมิตรผู้ที่มีปัญญาด้วยทั้งหมดทั้งปวงนั้นเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาทั้งสิ้นแต่จะเจริญขึ้นมากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่ ที่การสะสมมาของแต่ละบุคคล อย่างแท้จริง

Credit By....................................

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ภรรยาพราหมณ์มิจฉาทิฏฐิ

IMG_00000010013042019



บทความนี้มาจาก นิทานมงคลธรรม โดยท่านอาจารย์ เสฐียรพงษ์ 

วรรณปก พราหมณ์มีภรรยาสาวสวยคนหนึ่ง สองคนนับถือคนละศาสนา พราหมณ์นับถือศาสนาพราหมณ์ พราหมณีเป็นพุทธสาวิกา แต่ก็อย่้กันมาดูวยความสงบพอสมควร เพราะฝ่ายภรรยา ประนีประนอม สามีใหูช่วยทำาบุญ เช่น เลี้ยงพราหมณ์ เซ่นไหวูตามประเพณีพราหมณ์ เธอก็ทำา แมูว่าสามีจะไม่สนใจพระพุทธศาสนา ก็ไม่ว่าอะไร ปล่อยใหูเขาทำาไปตามศรัทธามีอย่างเดียวที่สามีไม่ยินยอม ก็คือ เวลาอย่้ต่อหนูาพวกพราหมณ์ อย่าเอ่ยชื่อถึงพระพุทธเจ้าหรือ พระสงฆ์สาวก ในหมู่พวกพราหมณ์ระคายหูแต่ก็อย่างว่า คนที่เคยสวดมนต์นมัสการพระรัตนตรัยอย่างสม่ำาเสมอนั้น ย่อมจะพลั้งเผลอบ้าง เวลาสะดุดหรือจะลูม เธอก็หลุดอุทานออกมาว่า.....

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต หลุดออกมาทีไรก็ถ้ก สามีตะเพิดทุกที วันหนึ่ง สามีจะเลี้ยงพระ พราหมณ์กำาชับภรรยาว่า เวลาเลี้ยงพระของเขาอย่้นั้น อย่าเผลอเอ่ยถึง พระของนางเป็นอันขาด นางก็รับปากรับคำาเป็นอย่างดี ขณะยกถาดอาหารจะไปถวายพระพราหมณ์ นางก็สะดุดลูมลง จึงอุทานว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต พระพราหมณ์กำาลังสวาปามอาหารอย่้ ก็บ่นว่า วันนี้บุญไม่เป็นบุญเสียแลูว พวกเราไดูยินเสียง กาลกิณีเต็มสองห้ จึงลุกจากอาสนะเดินหนีไปพรูอมกัน พลางหันหนูากลับมาด่าพราหมณ์เจูาภาพ อย่างเสีย ๆ หาย ๆพราหมณ์เสียใจมากที่พิธีทำาบุญถ้กยกเลิกกลางคัน โกรธภรรยาหัวฟัดหัวเหวี่ยง ลงจากเรือนไป หาพระพุทธเจ้า เพื่อต่อว่าเป็นตูนเหตุใหูภรรยาหลงใหล และท หูขายหนู ไปถึงก็ด่าฉอดๆ

ด่าจนรู้สึกหายเหนื่อยแลูว เห็นพระพุทธเจูาประทับนิ่ง ไม่ตอบโตูอะไร จึงถามว่า สมณะโคดม คนเราฆ่าอะไรไดูจึงจะเป็นสุข พระพุทธเจูาตรัสว่า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมีแต่ก่อทุกข์ ก่อเวร ภัย ฆ่าความโกรธในใจเราสิ จึงจะมีความสุขสงบเย็นไดู พราหมณ์พิจารณาตามกระแสพระดำารัส และเห็นดีดูวย เพราะตอนที่ตนโกรธ เห็นชูางเท่าหม้นั้น จิตใจมันรูอนรมุ่ กระวนกระวาย หัวอกแทบจะระเบิด แต่พอความโกรธมันสงบลง มันผ่อนคลาย เบาสบาย จึงไม่คิดด่าใครอีกต่อไป ขอบวชเป็ นสาวกพระพุทธศาสนา ไม่ช้าไม่นานเขาก็อยู่เหนือความโกรธ ได้บรรลุภาวะ ที่ดับเย็นสนิทแล้วแล
.....

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชีวิต

IMG_0010014110


คนเราจะมีการสร้างความคุ้นเคยกับสิ่งต่าง ๆ
และมีการสูญเสียความคุ้นเคย ในบางอย่างเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย...
ซึ่งมันคือหลักฐานในการยืนยันว่าเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตเป็นแค่สิ่งชั่วคราว
สุดท้ายแล้ว...ไม่มีอะไรตั้งมั่นอยู่ได้อย่างถาวร...
แต่ถึงแม้จะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งถาวร
เรายังกลัวจะเสียบางความคุ้นเคยไป
ขณะเดียวกันมีบางความคุ้นเคย หล่นหายโดยไม่รู้ตัว
เนื่องจากเรายึดความคุ้นเคยแต่ละชนิด ด้วยการถือมั่นไม่เท่ากัน
แต่ละคนมีวิธีจัดการเรื่องชั่วคราวที่อยู่ในชีวิตได้ไม่เหมือนกัน
มีทั้งคนที่จัดการได้ดีและคนที่จัดการอะไรไม่ได้เลย
บางเรื่อง (ชั่วคราว) ที่สูญหายไปทำให้คนเราพ่ายแพ้อย่างยาวนาน
มนุษย์ไม่ควรรู้สึกพ่ายแพ้ติดต่อกันนาน ๆ
และการรู้สึกแพ้นั้นเราจะรู้สึกเกินกว่าสถานการณ์จริงเสมอ
แพ้แค่ 3 ก็อาจรู้สึกว่าแพ้ถึง 10
ชีวิตคือการเดินทางผ่านเรื่องชั่วคราวจำนวนมาก
และสุดท้ายชีวิตของเราแต่ละคนก็เป็นเรื่องชั่วคราว
ถ้าเราตระหนักให้รู้ชัด ๆ ว่ามันชั่วคราว..
ความทุกข์ในใจก็จะลดน้อยลงทันตาเห็น
แต่อย่างว่า...เราตระหนักกันไม่ได้...
เพราะไม่ยอมเรียนรู้ถึงความชั่วคราวในชีวิตอย่างจริงจัง
แทบทุกวันเราจึงเอาเป็นเอาตายกับเรื่องต่าง ๆ
ราวกับเรื่องเหล่านั้นคือความคงทนถาวรที่จะดำรงอยู่ตลอดไป
ที่บอกว่า "เอาเป็นเอาตาย" ไม่ได้เกินความเป็นจริงเลย
เด็ก ๆ เอาเป็นเอาตายกับการเรียนพิเศษ
ผู้ใหญ่เอาเป็นเอาตายกับการทำงาน
ผู้ชายเอาเป็นเอาตายกับความใคร่
ผู้หญิงเอาเป็นเอาตายกับความรัก
บางเวลารู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
และกำลังเป็นอยู่ ในชีวิตคนเราล้วนเพ้อไปทั้งนั้น
ถ้าหยุดเพ้อลงบ้างก็ดี..การเกลียดใคร หรือรักใคร ก็เป็นการเพ้อ
ทั้งความรักและความเกลียดไม่ใช่สิ่งถาวร..........มันเพิ่มขึ้น..........ลดลง........สูญหายได้
การเข้าไปยึดถือ และแบกเอาไว้ ทำให้ชีวิตมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น...
อยู่อย่างเบา ๆ สบายตัวดีกว่า...โปรดสังเกตเวลาที่เราโกรธหรือเกลียดใคร
ความไม่สบายใจ...........ความขุ่นข้องใจ..........ความหนักใจก็จะเกิดขึ้นในทันที............



IMG_000002432552

การปฏิบัติธรรม





เงาชีวิตสิ่งแลกเปลี่ยน


QwpxrP.jpg
qsAGUy.jpg



ไม่มีใครรู้ว่าฉันเกิดมาจากที่ไหน ? ลูกใครหลานใคร ? บัดนี้ฉันก็ยังไม่มีใครรู้ว่า? ฉันคือใคร? มีลูกหลานหรือไม่ ?แต่ฉันรู้ว่าฉัน เกิดมากับสิ่งแลกเปลี่ยน หิว ต้องกิน ง่วงต้องนอน หายง่วงต้องตื่น ป่วยต้องกินยา บางที่ป่วยก็แลกกับหายได้โดยไม่ต้องรักษาฉันอยู่คู่โลกมาช้านาน แต่ไม่ใช่ความต้องการของโลก ไม่ใช่ความต้องการของตัวเองและไม่ใช่สังคมต้องการเพียงแต่ว่าเขาให้กิดมา ฉันจึงต้องมีหน้าที่มีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่ต้องทำลายชีวิตลง เพราะไม่นานคงต้องดับสูญ เมื่อมีชีวิตก็ต้องมีงาน เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ส่วนที่อยู่อาศัย ประเทศของฉันมีที่กว้างขวางแต่ฉันก็ไม่เป็นเจ้าของก็ได้มีดินที่ฉันนั่ง ลุก เดิน ยืน และนอนได้เพี่ยงบางคืนก็หาชายคาได้ที่ไหน ก็ขอแอบอิงพอพ้นน้ำค้างงานของฉันคือให้ความสะอาดของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อมา ก็กลับหัว - กลับหางให้เพื่อสะดวกในการพาให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ถูกตำหนิบ่อยครั้งว่า....ย้ายที่ของฉันทำไม ?....ฉันหายาก.....ยอมรับผิดด้วยความเงียบเพราะย้ายจากหัวไปหางเท่านั้น เมื่อก่อนเจ้าของจะจากไป ฉันยกมือไหว้ เขาให้สตางค์บางคนไม่ให้ ฉันก็ไหว้ บางคนที่ไม่ให้บอกว่าฉันไม่มี แต่เขาบอกว่าน่าสงสาร....ฉันอมยิ้มและบอกว่าแค่คำนี้คุณให้ฉันมาเยอะแล้ว เพราะสงสารก็คงไม่ต้องการให้ฉันมีทุกข์......เรียบเรียงโดย.......พิกุล พุทธศักราช 2525


บทความนี้คัดลอก(พิมพ์เป็นไฟล์)จากวารสาร"พลังชีวิต"ปีพุทธศักราช 2527

iH0MT0.jpg

คัดส่วนหนึ่งมาจาก ยมกปาฏิหาริย์



พืชแม้มาก อันบุคคลหว่านแล้วในนาดอน ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังชาวนาให้ยินดี ฉันใดทานมากมาย อันบุคคลตั้งไว้ ในหมู่ชนผู้ทุศีล ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังทายกให้ยินดี ฉันนั้นเหมือนกัน; พืชแม้เล็กน้อย อันบุคคลหว่านแล้วในนาดี เมื่อฝนหลั่งสายน้ำถูกต้อง (ตามกาล) ผลก็ย่อมยังชาวนา ให้ยินดีได้ ฉันใด, เมื่อสักการะแม้เล็กน้อยอันทายกทำแล้ว ในเหล่าท่านผู้มีศีล ผู้มีคุณคงที่ผลก็ย่อมยังทายกให้ยินดีได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. ทานที่ให้ในทักขิไณยบุคคลมีผลมาก ถามว่า "ก็บุรพกรรมของอินทก

เทพบุตรนั้น เป็นอย่างไร? แก้ว่า ได้ยินว่า อินทกเทพบุตรนั้นได้ให้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่งที่เขานำมาแล้วเพื่อตน แก่พระอนุรุทธเถระผู้เข้าไปบิณฑบาตภายในบ้าน. บุญของเธอนั้น มีผลมากกว่าทานที่อังกุรเทพบุตร ทำแถวเตาไฟยาวตั้ง ๑๒ โยชน์ ให้แล้วตั้งหมื่นปี เพราะเหตุนั้น อินทกเทพบุตรจึงกราบทูลอย่างนั้น." เมื่ออินทกเทพบุตรกราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาตรัสว่า "อังกุระ การเลือกเสียก่อนแล้วให้ทานจึงควร ทานนั้นย่อมมีผลมากด้วยอาการอย่างนี้ ดุจพืชที่เขาหว่านดีในนาดีฉะนั้น แต่เธอหาได้ทำอย่างนั้นไม่ เหตุนั้น ทานของเธอจึงไม่มีผลมาก" เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ให้แจ่มแจ้ง จึงตรัสว่า ทานอันบุคคลให้แล้วในเขตใด มีผลมาก บุคคลพึงเลือกให้ทานในเขตนั้น การเลือกให้อัน พระสุคตทรง

สรรเสริญแล้วทานที่บุคคลให้แล้ว ในทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลก คือหมู่ สัตว์ที่ยังเป็นอยู่นี้ มีผลมาก เหมือนพืชที่บุคคล หว่านแล้วในนาดีฉะนั้น. เมื่อจะทรงแสดงธรรมให้ยิ่งขึ้นไป ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย หมู่สัตว์นี้มีราคะเป็นเครื่องประทุษร้าย, เพราะ เหตุนั้นแล ทานที่บุคคลให้แล้ว ในท่านที่มีราคะ ไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมีผลมาก. นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย หมู่สัตว์นี้มีโทสะเป็นเครื่องประทุษร้าย, เพราะ เหตุนั้นแล ทานที่บุคคลให้แล้วในท่านผู้มีโทสะ ไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมีผลมาก. นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย หมู่สัตว์นี้มีโมหะเป็นเครื่องประทุษร้าย, เพราะ เหตุนั้นแล ทานที่บุคคลให้แล้วในท่านผู้มีโมหะ ไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมีผลมาก นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย หมู่สัตว์นี้มีความอยากเป็นเครื่องประทุษร้าย เพราะเหตุนั้นแล ทานที่บุคคลให้แล้ว ในท่านผู้ มีความอยากไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมีผลมาก. ในกาลจบเทศนา

อังกุรเทพบุตรและอินทกเทพบุตรดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. (ธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่มหาชนแล้ว). พระศาสดาเสด็จไปโปรดพระมารดาชั้นดาวดึงส์ ลำดับนั้น พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางเทวบริษัท ทรงปรารภพระมารดาเริ่มตั้งอภิธรรมปิฎกว่า "กุสลา ธมฺมา, อกุสลา ธมฺมา, อพฺยากตา ธมฺมา" ดังนี้เป็นต้น. ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกโดยนัยนี้เรื่อยไปตลอด ๓ เดือน. ก็แลทรงแสดงธรรมอยู่ ในเวลาภิกษาจาร ทรงนิรมิตพระพุทธนิรมิต ด้วยทรงอธิษฐานว่า "พุทธนิรมิตนี้จงแสดงธรรมชื่อเท่านี้ จนกว่าเราจะมา" แล้วเสด็จไปป่าหิมพานต์ ทรงเคี้ยวไม้สีฟันชื่อนาคลตา บ้วนพระโอษฐ์ที่สระอโนดาต นำบิณฑบาตมาแต่อุตตรกุรุทวีป ได้ประทับนั่งทำภัตกิจในโรงกว้างใหญ่แล้ว. พระสารีบุตรเถระไปทำวัตรแด่พระศาสดาในที่นั้น. พระศาสดาทรงทำภัตกิจแล้ว ตรัสแก่พระเถระว่า "สารีบุตร วันนี้ เราภาษิตธรรม

ชื่อเท่านี้ เธอจงบอกแก่ (ภิกษุ ๕๐๐) นิสิตของตน." ได้ทราบว่า กุลบุตร ๕๐๐ เลื่อมใสยมกปาฏิหาริย์ บวชแล้วในสำนักของพระเถระ. พระศาสดาตรัสแล้วอย่างนั้น ทรงหมายเอาภิกษุเหล่านั้น. ก็แลครั้นตรัสแล้ว เสด็จไปสู่เทวโลก ทรงแสดงธรรมเอง ต่อจากที่พระพุทธนิรมิตแสดง. แม้พระเถระก็ไปแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้น เมื่อพระศาสดาเสด็จอยู่ในเทวโลกนั้นแล ได้เป็นผู้ชำนาญในปกรณ์ ๗ แล้ว. ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ภิกษุเหล่านั้นเป็นค้างคาวหนู ห้อยอยู่ที่เงื้อมแห่งหนึ่ง เมื่อพระเถระ ๒ รูปจงกรมแล้วท่องอภิธรรมอยู่ ได้ฟังถือเอานิมิตในเสียงแล้ว ค้างคาวเหล่านั้นไม่รู้ว่า "เหล่านี้ ชื่อว่าขันธ์, เหล่านี้ ชื่อว่าธาตุ" ด้วยเหตุสักว่าถือเอานิมิตในเสียงเท่านั้น จุติจากอัตภาพนั้น แล้วเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จุติจากเทวโลกนั้นแล้ว เกิดในเรือนตระกูลในกรุงสาวัตถี เกิดความเลื่อมใสในยมกปาฏิหาริย์ บวชในสำนักของพระเถระแล้ว ได้เป็นผู้ชำนาญในปกรณ์ ๗ ก่อนกว่าภิกษุทั้งปวง. แม้พระศาสดาก็ทรงแสดงอภิธรรมโดยทำนองนั้นแล ตลอด ๓ เดือนนั้น. ในกาลจบเทศนา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่เทวดา ๘ หมื่นโกฏิ. แม้พระมหามายาก็ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. พระโมคคัลลานเถระขึ้นไปทูลถามข่าวเสด็จลง บริษัทมีปริมณฑล ๓๖ โยชน์แม้นั้นแล คิดว่า "แต่บัดนี้ไปใน

วันที่ ๗ จักเป็นวันมหาปวารณา" แล้วเข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานเถระ กล่าวว่า "ท่านเจ้าข้า ควรจะทราบวันเสด็จลงของพระศาสดา เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายไม่เห็นพระศาสดาแล้ว จักไม่ไป." ท่านพระมหาโมคคัลลานะฟังถ้อยคำนั้นแล้วรับว่า "ดีละ" แล้วดำลงในแผ่นดินตรงนั้นเอง อธิษฐานว่า "บริษัทจงเห็นเรา ผู้ไปถึงเชิงเขาสิเนรุแล้วขึ้นไปอยู่" มีรูปปรากฏดุจด้ายกัมพลเหลืองที่ร้อยไว้ในแก้วมณีเทียว ขึ้นไปแล้วโดยท่ามกลางเขาสิเนรุ. แม้พวกมนุษย์ก็แลเห็นท่านว่า "ขึ้นไปแล้ว ๑ โยชน์ ขึ้นไปแล้ว ๒ โยชน์" เป็นต้น แม้พระเถระขึ้นไปถวายบังคมพระบาทยุคลของพระศาสดา ดุจเทินไว้ด้วยเศียรเกล้า กราบทูลอย่างนี้ว่า "พระเจ้าข้า บริษัทประสงค์จะเฝ้าพระองค์ก่อนแล้วไป พระองค์จักเสด็จลงเมื่อไร?"

ตราบใดที่เข้าใจธรรม






เป็นเรื่องน่าคิดที่ธรรมชาติ อนุญาตให้บรรดาสัตว์โลกทั้งหลายมีชีวิตอยู่บนโลกนี้นับเป็นวันได้โดยเฉลี่ยดังนี้....

แมลงเม่า - 1 วัน
มด - 21  วัน
ปลากะตัก - 21 วัน
แมงปอ - 120  วัน
ปลาหางนกยูง - 120 วัน
กระต่าย - 1,825 วัน
สุนัข - 5,475 วัน
ม้า - 10,950  วัน
มนุษย์ - 25,550 วัน
ช้าง - 36,500 วัน
เต่า - 73,000 วัน

ทุกชีวิตมีเวลาที่ธรรมชาติอนุญาตให้อยู่ได้ ตามวงจรชีวิตของแต่ละสายพันธิ์ถ้านับเป็นวันแล้ว น้อยมากจริงๆ ยิ่งมนุษย์แล้ว ถ้าอายุครบ 60 ปี ก็เท่ากับเวลาผ่านไปแล้ว 22,000 วัน เวลาก็ยิ่งเหลือน้อยนิดลงไปอีกเหลือเพียงไม่กี่วันเอง บวกลบได้ไม่มากมายหรอก ถึงจะมั่นใจว่าตัวเองยังสุขภาพดีอยู่ก็ตาม
 
ดังนั้นการใช้เวลาที่เหลือ ในการดำรงชีวิตอย่าได้หลงระเริงโดยเด็ดขาด จะต้องยึดหลักปฎิบัติของพระพุทธองค์เป็นหลัก ให้หมั่นสร้างบุญ สร้างกุศล หมั่นทำความดี เตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อม จัดการเรื่องราวต่างๆให้เรียบร้อย โดยเฉพาะสำหรับลูกหลานและคนที่ยังอยู่ข้างหลัง และต้องลดละเลิก การสะสม ลดโมหะ โทสะ โลภะ ทั้งปวง
 
เตรียมตัวนับถอยหลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต และพร้อมที่จะจากโลกนี้ไปได้ในทุกเวลาอย่างมีความสุข เพราะเข้าใจในสิ่งธรรมชาติกำหนดไว้แล้ว จงจำไว้ว่า ธรรมะ คือ ธรรมชาติ

คำถาม คือ ชีวิตคืออะไร ? (ดู Clip)









ปลากัด

SASM_000000006_2P




ประเภทของปลากัด โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ยนต์ มุสิก ปลากัดที่พบตามแหล่งน้ำธรรมชาติในประเทศไทยมีอยู่ ๓ ชนิด แต่มีเพียงชนิดเดียวที่นิยมเลี้ยงกันมากในประเทศไทย และแพร่หลายไปทั่วโลก คือ ปลากัดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens ซึ่งพบทั่วไปในทุกภาคของประเทศ ปลากัดอีก ๒ ชนิดที่นิยมนำมากัดกัน แต่ไม่นิยมนำมาเลี้ยงหรือปรับปรุงพันธุ์นั้น ชนิดหนึ่งเป็นปลาพื้นเมืองภาคใต้ (Betta imbellis) และอีกชนิดหนึ่งเป็นปลากัดพื้นเมืองภาคอีสาน (Betta smaragdina) ในระยะหลังได้มี

การนำปลาป่าพื้นเมืองภาคใต้มาผสมข้ามสายพันธุ์บ้าง เพื่อให้ได้ลูกผสมที่กัดเก่ง หรือให้ได้สีและลักษณะที่สวยงาม อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงปลากัด โดยทั่วไปจะหมายถึง Betta splendens ซึ่งนิยมเลี้ยงกันอยู่ทั่วโลก โดยที่ปลากัดชนิดนี้มีลักษณะทางพันธุกรรมที่สามารถสร้างลักษณะสีและครีบได้มากมายแฝงอยู่ จึงทำให้มีการพัฒนาปลากัดสายพันธุ์ที่มีลักษณะใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ และมีการตั้งชื่อปลาที่พัฒนาได้ใหม่นั้นด้วย ปลากัดแบ่งออกเป็น ปลาป่าหรือปลาลูกทุ่ง ปลาสังกะสี และปลาลูกหม้อ ปลากัดจีน ปลา

กัดหางสามเหลี่ยม หรือปลากัดเดลตา ปลากัดหางพระจันทร์ครึ่งซีก หรือปลากัดฮาล์ฟมูนเดลตา ปลากัดหางมงกุฎ หรือปลากัดคราวน์เทล ปลากัดประเภทอื่น ๆ ปลากัดจีน เป็นชื่อที่ใช้เรียกปลากัดครีบยาวมาช้านาน เข้าใจว่าอาจมาจากลักษณะครีบที่ยาวรุ่ยร่ายสีฉูดฉาดเหมือนงิ้วจีน ปลากัดจีนเป็นปลาที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากปลาลูกหม้อ โดยผสมคัดพันธุ์ให้ได้ลักษณะที่มีครีบและหางยาวขึ้น ความยาวของครีบหางส่วนใหญ่จะยาวเท่ากับ หรือมากกว่าความยาวของลำตัวและหัวรวมกัน และมีการพัฒนาให้ได้สีใหม่ๆ และสวยงาม โดยนักเพาะเลี้ยงปลากัดชาวไทย ซึ่งได้พัฒนาสายพันธุ์สำเร็จมาช้านาน ก่อนที่ปลากัดจะ


ถูกนำไปเลี้ยงในต่างประเทศ แต่ไม่มีการบันทึกไว้ว่า การพัฒนาปลากัดสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ปลากัดชนิดนี้เป็นชนิดที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามแพร่หลายไปทั่วโลก และได้มีการนำไปพัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่อง จนได้สายพันธุ์ที่มีลักษณะใหม่ ๆ ออกมาอีกมากมาย


ความกตัญญู

P_0000000310001706_20190310


ฟ้าดินให้ความสำคัญกับ ความกตัญญู เป็นอันดับแรกความกตัญญูเพียงหนึ่งคำ ทำให้ทั้งครอบครัวมีความร่มเย็นเป็นสุขผู้ที่มีความกตัญญูจะสามารถให้กำเนิดบุตรที่มีความกตัญญูบุตรหลานที่กตัญญูย่อมมีสติปัญญาและคุณธรรมอันดีงามความกตัญญูเป็นคุณธรรมก้าวแรกของมนุษยธรรมบุตรที่มีความกตัญญู เมื่อจากโลกนี้ไปจะได้เป็นเทพเซียน
แต่ครั้งโบราณกาล ขุนนางที่มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ล้วนแต่เป็นบุตร

ที่มีความกตัญญูกษัตริย์คัดเลือกขุนนางที่ดีจากผู้ที่มีความกตัญญู มีสุจริตธรรมให้มีความกตัญญูต่อบิดามารดาอย่าทุ่มเทสุดใจ สุดกำลังความสามารถชั่วชีวิตความกตัญญูมิได้อยู่ที่การให้บิดารมารดาได้รับประทานอาหารที่ดีและมีเสื้อผ้าอาภรณ์สวมใส่คุณค่าแห่งกตัญญุตาธรรมอยู่ที่ความกตัญญูที่ออกจากจิตใจอันแท้จริงการกตัญญูต่อบิดามารดา เมื่อบิดามารดาว่ากล่าวตักเตือนอย่าได้เถียงคำแต่น่าเสียดายยิ่งนักว่า ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่รู้จักความกตัญญูอย่างแท้จริงถ้าสามารถย้อน

จิตกลับสู่ความกตัญญู ก็สามารถคืนสู่หลักแห่งฟ้าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดอุปสรรค ไม่ราบรื่น ก็เพราะไม่มีความกตัญญูหารู้ไม่ว่า ความกตัญญูนั้นสามารถดลจิตดลใจให้ฟ้าเบื้องบนซาบซึ้งใจได้ความกตัญญูกตเวทีเป็นธรรมอันล้ำค่สูงส่ง ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนการจะกตัญญูต่อบิดามารดานั้น ไม่ได้แบ่งว่าต้องเป็นหญิงหรือชายบุญวาสนา เกียรติยศที่ได้มาล้วนเพราะคำว่า กตัญญูฟ้าเบื้องบนจะมองบุตรที่มีความกตัญญูด้วยสายตาเอ็นดูเป็นพิเศษกว่าผู้ใดทุก ๆ คนล้วนสามารถกตัญญูต่อบิดามารดาได้เคารพ กตัญญูต่อบิดามารดาดั่งเคารพฟ้าปากของบุตรกตัญญูจะเปี่ยมด้วยคำพูดแห่งความกตัญญูสะใภ้ที่กตัญญู ก็จะมีสีหน้าและรอยยิ้มแห่งความกตัญญูหากได้กตัญญูต่อบิดามารดาของสามีอย่างเต็มที่ก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้กตัญญูและเป็นเมธีคนดีงามลูกผู้หญิงได้ชื่อว่าเป็นกุลสตรี ต้องเริ่มต้นหัดเรื่องความกตัญญูก่อนหลักพึ่งพาสาม คุณธรรมสี่ของสตรีนั้น ความกตัญญูมาเป็นอันดับแรกผู้มีความกตัญญูจะเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในชุมชนและหมู่บ้านหากคนใน

ครอบครัวต่างมีความกตัญญูต่อกัน ทั้งผู้ใหญ่และเด็กก็จะยินดีปรีดา เป็นสุขทั่วหน้าบุตรกตัญญู พบใครก็จะพูดเตือนให้ผู้อื่นมีความกตัญญูด้วยความกตัญญูสามารถเปลี่ยนแปลงหรือกล่อมเกลาจรรยา ความประพฤติของมนุษย์ให้บังเกิดความดีงามขณะมีชีวิตอยู่ บุตรที่มีความกตัญญูเป็นผู้ที่มีคุณค่าสูงส่งแม้สิ้นชีพแล้ว ผู้กตัญญูมีชื่อเสียงจรรโลงสืบทอดชั่วกาลนานการมีชีวิตบนโลกนี้ อะไรฤาจะสู้แรงกตัญญูได้
ความกตัญญูสามารถดลใจฟาดินให้ซาบซึ้งได้คัมภีร์กตัญญูและหนังสือว่าด้วยความกตัญญู ล้วนสอนให้คนเรารู้จักกตัญญูให้รู้กตัญญูต่อบิดามารดาและต่อบรรพบุรุษบิดามารดาให้กำเนิดบุตรก็เพื่อแสดงความกตัญญูนั่นเองถ้าใครมีความกตัญญู ก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรชายหญิงที่ดีเมื่อเป็นคนหากสามารถแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดาแล้ว
รุ่นบุตรของตนก็จะกตัญญูต่อตนเช่นกันผู้ที่ยังไม่รู้จักกตัญญูต่อบิดา

มารดาผู้บังเกิดเกล้าในบ้านเมื่อไม่กตัญญู ยามต้องอับจนลำบาก ก็อย่าได้โทษฟ้าบุตรกตัญญู มีใบหน้าลักษณะแสดงความสันติ ละมุนโอบอ้อมผู้มีความกตัญญูต่อบิดามารดาและปรองดองในพี่น้อง ย่อมจะมีความสุขสบายใจยามบิดามารดายังมีชีวิตอยู่ ควรกตัญญูต่อท่าน แต่กลับไม่รู้จักกตัญญูรอจนกระทั่งบิดามารดาสิ้นแล้ว ค่อยสำนึกรู้ตัว เสียใจภายหลังก็สายเสียแล้วความกตัญญูอยู่ที่ใจ มิได้อยู่ที่รูปลักษณ์เปลือกนอกคุณค่าความกตัญญูอยู่ที่การปฏิบัติจริง ไม่ใช่อยู่ที่คำพูด
บุตรกตัญญู สามารถทำให้ครอบครัวมีความผาสุกทั่วหน้าหากบุตรกตัญญูปกครองบ้านเมือง เหล่ามวลประชาราษฏร์ก็จะร่มเย็นเป็นสุขพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ล้วนแต่เพราะพลานุภาพแห่งความกตัญญูด้วยพลานุภาพความกตัญญู ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสันติ

ผู้ที่รู้กตัญญู มิใช่อยู่ที่ความมั่งมีหรือยากจนการเข้าใจถึงจิตใจ ความรู้สึกของบิดามารดาได้ดี ก็ถือว่าเป็นบุตรกตัญญูการมีความปรองดองในหมู่พี่น้อง ก็เป็นความกตัญญูเช่นกันให้รู้ อดทนสละให้ สองคำนี้จะช่วยให้ความกตัญญูพร้อมสมบูรณ์เมื่ออยู่ในสภาวะที่ทุกข์ยากลำบาก ยังมีความกตัญญูนั่นแหละ จึงถือเป็นความกตัญญูอันแท้จริงให้มีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความกตัญญูต่อบิดามารดาเสมอขณะที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่พร้อมหน้า ยิ่งเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้แสดงความกตัญญู
เมื่อเหลือบิดามารดาที่ว้าเหว่าเพียงคนเดียว ยิ่งต้องรู้จักกตัญญูด้วยเพราะเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องเร่งรีบแสดงความกตัญญู
เราต้องเป็นผู้แสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา ส่วนอายุขัยของท่านนั้นขึ้นอยู่กับฟ้าเป็นผู้กำหนดการได้แสดงความกตัญญูในขณะที่บิดา

มารดายังมีชีวิตอยู่ จึงจะถือได้ว่ามีความกตัญญูอย่าแท้จริงหากรอจนท่านสิ้นแล้ว ค่อยมาแสดงความกตัญญูก็ไร้ความหมายความกตัญญูที่สืบทอดต่อกันมาถือเป็นมรดกอันล้ำค่ายิ่งของครอบครัวจิตกตัญญูมีความโอบอ้อมละมุน ทำให้เกิดความหวานชื่นลูกแพะคุกเข่าดูดนมแม่แพะ แสดงให้เห็นถึงจิตที่รู้กตัญญูนกอีกาก็รู้จักกตัญญู โดยคาบอาหารมาป้อนให้แม่กาหากเกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่รู้จักกตัญญูก็ยังสู้สัตว์

เดรัจฉานไม่ได้ นับว่าน่าสงสาร น่าสมเพชจริง ๆร้อยกระทำ หมื่นกุศลความดีงาม ความกตัญญู สำคัญเป็นอันดับแรกพึงรู้คำว่า กตัญญู เป็นรากต้นธารผู้ศรัทธาไหว้พระ ทำความดี ก็ถือว่าเป็นผู้กตัญญู
กตัญญูทำให้ได้อาศัยพระพุทธานุภาพให้ล่วงพ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
ความกตัญญูเอย ความกตัญญูอันยิ่งใหญ่ความกตัญญูช่างยิ่งใหญ่และมีพลานุภาพไร้ขอบเขตสุดที่จะประมาณได้




XSM_10046299DSCF735-1

คาเฟ่ สนทนา

IXMG_02018040914103055






 

 ณัฐฬส วังวิญญู นักกิจกรรมเพื่อสังคม และวิทยากรอบรมกระบวนการเรียนรู้ สถาบันขวัญแผ่นดิน เล่าถึงวงสนทนาง่ายๆ ที่คนในสังคมไทยอาจมองข้าม สุนทรียสนทนาไม่ใช่แค่การพูดคุยสนุกๆ เหมือนวงสนทนาทั่วไป แต่มีวิธีการพูดคุยเพื่อเผยความรู้สึกด้านใน แล้วจะมีประโยชน์อันใดกับชีวิต มาเปิดคาเฟ่คุยกันตรงนี้ดีกว่า... ดื่มคาปูชิโนอุ่นๆ พร้อมเรื่องเล่าจากหัวใจในคาเฟ่เล็กๆ ของคุณย่าวัย 83 ปีในซานฟรานซิสโก อเมริกา เธอให้โอกาสคนที่แวะเวียนผ่านมาดื่มกาแฟ นั่งคุยเปิดพื้นที่ของหัวใจทุกวันอาทิตย์... ณัฐฬส วังวิญญู นักกิจกรรมเพื่อสังคม และวิทยากรอบรมกระบวนการเรียนรู้ สถาบันขวัญแผ่นดิน เล่าถึงวงสนทนาง่ายๆ ที่คนในสังคมไทยอาจมองข้าม เพราะการพูดคุยลักษณะนี้เป็นการเรียนรู้การฟังกันอย่างลึกซึ้งและเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่นและตัวเอง “คุณรู้ไหม คาเฟ่บางแห่งในอเมริกาทำแบบนี้ คุณย่าเจ้าของร้านกาแฟที่ผมเล่าให้ฟัง เชิญให้ทุกคนที่เข้ามาวันอาทิตย์นั่งลง ดื่มกาแฟ แนะนำตัว มีป้ายวางบนโต๊ะว่า
หนึ่ง เราจะฟังกันอย่างลึกซึ้ง
สอง...เราจะไม่ด่วนตัดสิน
สาม...เราจะพูดเยิ่นเย้อกินพื้นที่
สี่......เราจะสนใจเรื่องที่พูดและรู้สึกต่อเรื่องนั้นจริงๆ” ณัฐฬส เล่าและมีเพื่อนที่ผ่านมาขอร่วมวงสุนทรียสนทนาในการสัมภาษณ์ด้วย เธอบอกว่า ทุกวันนี้มีคลับหรือชมรมเยอะขึ้น หรือการไปแดนซ์กลางคืน เพราะเราต้องการสังคม แต่เราไปยึดอย่างอื่นที่ไม่ใช่ด้านในตัวเอง “ต้องหาที่ให้คนในสังคมยืน มีคนสนใจเรื่องพวกนี้น่ะ เพราะคนต้องการหาผู้ฟังเวลาพูด” เหมือนเช่นที่เชียงรายมีกลุ่มวงน้ำชาของกลุ่มนักกิจกรรมสังคม เชื้อเชิญคนเชียงรายมาร่วมวง ณัฐฬสเองก็มีร้านหนังสือเอกเขนกของตัวเองในเชียงราย เป็นการทดลองเล็ กๆ มีมุมกาแฟ มีที่นั่งเล่น “ร้านหนังสือส่วนใหญ่เอาหนังสือล่อให้คนมาซื้อ แต่ผมเอาหนังสือล่อให้คนมาเจอกัน ต้องเข้าใจก่อนว่า กระบวนการเรียนรู้มีหลายวิธี มนุษย์เรียนรู้ตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ตัวเราอย่างเดียว แต่เป็นคนในวงสนทนา คำตอบอยู่ที่ตัวเรา ไอเดียและคำพูดจากวงสนทนานำไปพัฒนาตัวเองได้” พื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริหารระดับสูงหรือคนงานเล็กๆ เมื่อล้อมวงพูดคุยกัน บรรยากาศก็จะดูสบายๆ ผ่อนคลาย ณัฐฬสจัดกระบวนการการเรียนรู้ด้านในมานานกว่า 8 ปี เขาบอกว่า เน้นการเรียนรู้โลกด้วยใจ บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า สุนทรียะสนทนา เพราะคนทำกระบวนการ ต้องการให้คนเรากลับมารู้จักตัวเอง ทั้งร่างกาย ความรู้สึก ความสัมพันธ์กับคนอื่นและ

การใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย กระบวนการสุนทรียสนทนาหลักๆ คือ สร้างพื้นที่ที่ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยต่อความไว้วางใจ คุยแบบเปิดใจร่วมทุกข์ ไม่ต้องแยกพรรคพวก "ทำมา 7-8 ปี คนที่ไม่เคยคุยกันเลย แต่พอมาอยู่ในวงนี้ก็เปิดใจ เราไม่ได้เริ่มจากปัญหา แต่เริ่มจากเรื่องที่พวกเขารู้สึกดีๆ ไม่ว่าเรื่องราวการเดินทาง ชีวิตที่ผ่านมา การต่อสู้ ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ คนที่มีบุญคุณกับเขา คนไม่ได้เรียนจบปริญญาตรีมักจะมีเรื่องราวต่างๆ ที่พอนึกถึงหรือเล่าออกมาแล้วจะรู้สึกดีๆ" ณัฐฬส เล่าถึงกระบวนการที่ไม่ได้เริ่มจากปัญหาคับข้องใจ “บางคนทำงานด้วยกันกว่าสิบยี่สิบปี ไม่เคยคุยกันมาก่อน บางคนไม่รู้ว่าเพื่อนที่ทำงานมีพี่น้องกี่คน การเรียนรู้แบบนี้ เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่ต้องอาศัยพลังกลุ่มในการขับเคลื่อน เมื่อคนหนึ่งเริ่มเปิด อีกคนก็จะเปิดใจตาม” กระบวนการสุนทรียสนทนา จึงไม่ใช่การอบรมโดยวิทยากรให้ความรู้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการแสดงความคิดและความรู้สึกร่วมกัน ไม่ตัดสินว่าใครผิดหรือถูก โดยมีวิทยากรคอยแนะนำในบางครั้ง “ผมใช้คำว่าให้เกียรติกัน เพราะเวลาเราทำงานในองค์กร เราคาดหวังกันเยอะ แต่ไม่ค่อยให้เกียรติกัน และแนวคิดที่ว่าคุณค่าของคนอยู่ที่ผลของงานเป็นช่วงของการสร้างชาติ ทำให้คนเอาตัวเองไปฝากไว้ที่คุณค่าของงาน เราอยู่ในโลกที่เราต้องสัมพันธ์กัน เราต้องให้ค่ากัน เพราะ

เราเป็นมนุษย์ และไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ มนุษย์มีความเก่งไม่เหมือนกัน บางคนก็ชุ่ย บางคนไม่ได้เรื่อง แล้วเราจะท้าทายความแตกต่างได้อย่างไร” สิ่งที่ณัฐฬสย้ำคือ ต้องกล้ามองตัวเอง จริงๆ เราเปลี่ยนตัวเองได้ คนที่ชอบตำหนิคนอื่น ก็ไม่จำเป็นต้องมุ่งมั่นตำหนิคนตลอดเวลาเพราะความนเคยชิน “เหมือนเราโตมากับค้อน ก็ใช้แต่ค้อนหรือ” เรียนรู้อดีตเข้าใจตัวเอง อดีตคือ รอยร้าวในใจที่ณัฐฬส เชื่อมโยงให้เห็นว่า ต้องเยียวยาอดีตก่อน วิธีการคือ ต้องรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อทำให้คนเห็นภาพตัวเอง หลายคนวิ่งหนีอดีต บางคนเป็นเด็กกำพร้า บางคนเพื่อนไม่ยอมรับ นำไปสู่ความรุนแรง “ผลจากอดีตคือ การโทษตัวเอง โทษคนอื่น โทษพ่อแม่ อันนี้คือกรรมนะ แล้วเดี๋ยวนี้ภาษาคำว่าแก้กรรม เยอะมาก ถ้าคุณ

จะแก้กรรม ต้องเยียวยาอดีต แค่นั้นแหละคุณเปลี่ยนชีวิตได้” การทำกระบวนการลักษณะนี้ต้องทำความเข้าใจกับหลักจิตวิทยา ศาสนา ศิลปะและการภาวนา ณัฐฬส บอกว่า คนบางส่วนไม่มีความเชื่อหรือศรัทธาใดๆ ต่อศาสนา เพราะคนสมัยนี้ไม่ได้สนใจที่จะฟังภาษาธรรม "ต้องมีภาษาที่สื่อสารกับชีวิตเขาได้ ถ้าบอกว่าต้องมีศีล ต้องทำความดี แต่ผมอยากบอกว่า เรื่องเหล่านี้คนรู้อยู่แล้ว มันจะไม่ผลกระทบต่อเขา สิ่งที่มีผลกระทบคือสิ่งที่เขารู้สึก คนที่เขารัก ลูก และครอบครัว ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทุกอย่างในชีวิตก็เปลี่ยน อีกอย่างการรับฟังไม่ใช่การเชื่อตาม เป็นการแชร์ความรู้สึก เป็นกระบวนการเรื่องเล่า คนที่มีเรื่องเล่าแบบเดิมๆ ก็สร้างสรรค์โลกแบบเดิมๆ" และไม่ใช่ว่า ร่วมกระบวนการเรียนรู้ไม่กี่ครั้ง จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทันที กระบวนการทั้งหมดอยู่ที่การเรียนรู้ด้านในของแต่ละคนในการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น “ต้องสร้างสังฆะการสนทนาในองค์กรอย่างต่อเนื่องให้ได้ เพราะโลกของความทรงจำอยู่ในจิตไร้สำนึก เวลาดึงโลกของเราออกมา ส่วนใหญ่จะอยู่ในบทสนทนา” ณัฐฬส เล่าถึงการฝึกฝนตัวเองใน

ลักษณะนี้ ต้องมีสติในการพิจารณา ถ้าเราเชื่อว่า เราทำได้ เราก็จะทำ แต่ถ้าเราเชื่อว่า เราทำไม่ได้ เราก็จะไม่ทำ “หลายองค์กรที่ผมจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จในแง่ความยั่งยืน เพราะคิดว่า ทำเวิร์คชอปแล้วจะได้ผลทันที ทำเรื่องพวกนี้เหมือนการกินข้าว ต้องทำอยู่เรื่อยๆ” แม้การจัดกระบวนการเรียนรู้ขององค์กรธุรกิจและองค์กรเพื่อสังคมจะต่างกัน แต่มนุษย์ก็คือมนุษย์ ต้องการชีวิตที่ดีไม่ต่างกัน “ผมอยากจัดรีทรีทให้ครูมาวิเวกอยู่กับตัวเอง หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมแปลตอนนี้เรื่อง 'กล้าสอน' คนแปลคนนี้เคยจัดรีทรีทให้ครูสามสิบคน สามเดือนครั้ง เป็นเวลาสองปี ปรากฏว่า จิตวิญญาณของครูกลับคืนมา การแลกเปลี่ยนความรู้สึกโลกภายในของครู พวกเขาได้ทั้งแรงบันดาลใจในการสอนและสร้างสรรค์ ซึ่งครูส่วนใหญ่ในอเมริกา เต็มไปด้วยเรื่องการเหยียดสีผิว อาวุธปืน ความรุนแรง ผมก็เลยบอกครูที่ผมไปจัดเวิร์คชอปว่า ผมอยากมาทำแบบนี้บ้าง” ณัฐฬส เล่า เพราะอาชีพครูสามารถสร้างผลกระทบให้กับคนในสังคมได้มาก ล้วงลึกความเป็นมนุษย์ นอกจากแนวคิดเรื่องสุนทรียสนทนาที่ทำให้คนเมือง ทั้งองค์กรธุรกิจ องค์กรสาธารณสุข ครูสอนหนังสือแล้ว ณัฐฬส ยังมีแนวคิดเรื่องการจัดกระบวนการให้เยาวชนกระทำผิด “ผมยังไม่ได้ทำงานกับเยาวชนกลุ่มนี้ เด็กส่วนใหญ่ทำไม่ดี เพราะต้องการการยอมรับ มีความเจ็บปวดและถูกบีบคั้น ต้องทำให้เขาให้อภัยตัวเองก่อน ส่วนใหญ่เยาวชนจะ

ทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ชกต่อย ลักเล็กขโมยน้อย ฆ่าคนมีน้อยมาก” กระบวนการล้วงลึกความเป็นมนุษย์สามารถช่วยเยียวยาได้ ณัฐฬสเคยคุยกับคนทำงานในศาล ซึ่งเห็นด้วยกับงานของเขา เนื่องจากการจองจำเยาวชนที่ทำผิดต้องใช้งบประมาณปีหนึ่งกว่าสามหมื่นบาท ถ้าให้มาเข้าคอร์สเปลี่ยนแปลงตัวเองใช้งบประมาณไม่กี่พันบาท เหมือนที่เกริ่นนำตั้งแต่แรกว่า ไม่ใช่วงสนทนาที่วิจารณ์ซึ่งกันและกัน แต่เป็นกระบวนการจากด้านใน มีช่วงของการภาวนา เพื่อเปิดพื้นที่ในหัวใจ ณัฐฬสบอกว่า ไม่ได้ต้องการให้พูดคุยธรรมดา แต่เป็นการพูดคุยล้วงลึกสืบค้นความเป็นมนุษย์ในตัวเรา ต้องอาศัยความกล้าและความสงบ “เหมือนการภาวนาเพื่อให้เกิดการพูดจากข้างใน ซึ่งเราจะใช้ผัสสะทุกอย่าง ทั้งศิลปะ ดนตรี การ

วาดรูป ภาวนา และสมาธิ เพื่อให้เกิดความรู้สึก เพราะการเข้าสู่พื้นที่ในหัวใจ ไม่ได้ผ่านความรู้ ต้องผ่านความรู้สึก” ณัฐฬส บอกและให้เหตุผลว่า ชีวิตคนเราผ่านการเรียนรู้ภาคบังคับมาเยอะ "ระบบการศึกษาถูกตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนามนุษย์ แต่ไม่ได้เริ่มต้นจากสิ่งที่เราเป็น มันฉุดกระชากวิญญาณ เลือกเฉพาะคนเก่ง มันทำลายจิตวิญญาณมนุษย์" เพราะเขามีความเชื่อต่างจากคนในสังคม จึงมั่นใจว่า คนในสังคมสร้างสิ่งดีๆ ได้ จัดสรรสิ่งแวดล้อมให้ดีกับเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติได้ “คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า เรามีส่วนในการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่เชื่อตัวเองว่าหาเงินได้ ผมอยากเห็นสังคมที่เป็นเพื่อนกันและเคารพความเป็นมนุษย์” 

IMMG_000001064

06:01 ชั่วของมนุษย์

TPEET-1147441 IMG-07702399



โพสต์โดย What's going on in America นำมาแบ่งปันโดย k.kwan:http://board.palungjit.com


6:1 ต่อมาเมื่อมนุษย์เริ่มทวีมากขึ้นบนพื้นแผ่นดินโลก และพวกเขาให้กำเนิดบุตรสาวหลายคน 6:1 Wickedness of Man 6:1 And it came to pass, when men began to multiply on the face of the earth, and daughters were born unto them,
6:2 บุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าเห็นว่าบุตรสาวทั้งหลายของมนุษย์สวยงาม และพวกเขารับเธอทั้งหลายไว้เป็นภรรยาตามชอบใจของพวกเขา 6:2 That the sons of God saw the daughters of men that they were fair; and they took them wives of all which they chose. คำเตือนของพระเจ้าถึงการพิพากษา
6:3 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า "วิญญาณของเราจะไม่วิงวอนกับมนุษย์ตลอดไป เพราะเขาเป็นแต่เนื้อหนัง อายุของเขาจะเพียงแค่ร้อยยี่สิบปี" God's Warning of the Coming Judgment 6:3 And the LORD said, My spirit shall not always strive with man, for that he also is flesh: yet his days shall be an hundred and twenty years. 6:4 ในคราวนั้นมีพวกมนุษย์ยักษ์บนแผ่นดินโลก แล้วภายหลังเมื่อบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าเข้าหาบุตรสาวทั้งหลายของมนุษย์ และเธอทั้งหลายคลอดบุตรให้แก่พวกเขา บุตรเหล่านั้นเป็นคนมีอำนาจมาก ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นคนมีชื่อเสียง
6:4 There were giants in the earth in those days; and also after that, when the sons of God came in unto the daughters of men, and they bare children to them, the same became mighty men which were of old, men of renown. จากพระธรรมเอโนค 7:2:11 Note: หนังสือที่ถูกตัดออกจากการเป็นพระคัมภีร์เมื่อประมาณช่วงศตวรรษที่ 2 โดยรีบบีชื่อ

Simeon ben Jochai เพราะซาตานไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องราวของมัน มันมักแอบทำอะไรแบบลับๆล่อเสมอ เช่น พฤติกรรมของบรรดาสมาชิกของสมาคมลับต่างๆที่บูชาซาตานนั่นเอง "
2. เหล่าฑูตสวรรค์ มองดูพวกนาง จึงเกิดความลุ่มหลงในพวกนาง และกล่าวแก่กันและกันมา ให้พวกเราเลือกบุตรหญิงในหมู่มนุษย์มาเป็นภริยา และ.ให้กำเนิดลูกของเรากันเถิด'
3. และ Samyaza ที่เป็นผู้นำของพวกเขากล่าวแก่พวกเขาว่า: 'ฉันกลัวพวกเจ้าจะไม่เต็มใจที่จะกระทำการเช่นนี้
4. และฉันคนเดียวจะต้องถูกลงโทษในความผิดอันใหญ่หลวง.
5. และพวกเขาทั้งหมดตอบเขาและกล่าวว่า'เราทั้งหมดสาบาน
6. และผูกมัดตัวเองโดยทั้งสองฝ่ายโดยกระทำการอันชั่วช้าร่วมกัน ไม่ละทิ้งแผนนี้แต่ให้ทำสิ่งนี้. 
7. แล้วพวกเขาทั้งหมดสาบานและผูกพันด้วยตนเองโดยทั้งสองฝ่าย กระทำการอันชั่วช้าร่วมกัน พวกเขาทั้งหมดมี

จำนวนสองร้อย ผู้ที่ได้ลงมาสู่อาร์ดีส ที่อยู่บนยอดเขาอาร์โมน (เฮอร์โมน)
8. และพวกเขาจะเรียกภูเขาอาร์โมน(เฮอร์โมน) เนื่องจากพวกเขาได้สาบานและผูกพันด้วยตนเองโดยทั้งสองฝ่ายที่นั่น
9. และเหล่านี้คือชื่อของผู้นำ: Samyaza ผู้นำของพวกเขา, Urakabarameel, Akibeel, Tamiel, Ranuel, Danel, Azkeel, Saraknyal, Asael, Armers, Batraal, Anane, Zavebel, Samsaveel, Ertael, Turel, Yomyael, Arayal. ทั้งหมดมีครบถ้วนในจำนวนสองร้อย
10. พวกเขาก็ได้เลือกภริยาสำหรับตนเอง และพวกเขาได้เริ่มเข้าหาพวกเธอ หา และพวกเขาก็สอนวิชาหมอผี เวทมนต์คาถา การปลุกเสก รวมทั้งวิชาการทำลายล้าง(การทำสงครามในปัจจุบัน-ผู้เรียบเรียง) ให้กับภริยาที่พวกเขาอยู่ร่วมนั้น 
11. และพวกผู้หญิงก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรเป็นมนุษย์ร่างยักษ์
12. แต่ละคนมีรูปร่างสูง 300 ศอก คนยักษ์เหล่านี้กินอาหารทั้งหมดของมนุษย์ที่มีอย่างตะกละตะกลาม จนกระทั่งมนุษย์ไม่สามารถเลี้ยงพวกเขาได้ 
13. แล้วพวกมันจึงต่อสู้กับมนุษย์ เพื่อจะได้มากินมนุษย์. 14. และพวกเขาเริ่มทำร้ายนกและสัตว์ และสัตว์เลื้อยคลาน และปลา แล้วก็ฆ่ากันเอง "